30 เมษายน 2553

บันทึก 3



บันทึก 3


ตามหาสีสัน




เราเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับ 10 เมืองน่าเที่ยว ทำแจกโดยธนาคารกสิกรไทย และ Marrakech เป็นหนึ่งในนั้น เขาว่าเมืองมีสีสัน น่าสนใจ เป็นอะไรที่แปลกใหม่ น่าไปเยี่ยมเยือน เราก็เลยวางแผนไป


Marrakech อยู่ในประเทศมอรอคโค ทางตอนหนือของทวีปอัฟริกา และอยู่ใต้สเปน คนไทยต้องขอวีซ่าเข้า การจะไปมอรอคโค ไม่มีเครื่องบินตรงต้องไปต่อเครื่องที่แถบประเทศอาหรับ สำหรับเรา เราว่าไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ แต่ถ้าบินจากยุโรปเข้า จะมีสายการบินหลายสาย แต่จุดที่จะบินออกก็จำกัด ที่แน่ๆคือมีบินจากฝรั่งเศส และสเปนเข้าไปที่มอรอคโค และมีบินจากเมืองบาเซิลเข้า Marrakech เราก็เลยวางแผนขอไปพักผ่อนหลังทำงานเสร็จที่นี่ (ไม่เลวเลยใช่มั้ย 555+)

ตอนหาโรงแรม เราตั้งใจจะพักในที่พักแบบพื้นเมืองของเขาที่เรียกกันว่า Riad ไม่ใช่ Hotel และก็ตั้งใจว่าจะพักในตัวเมืองภายในกำแพงเมืองที่เรียกว่า Medina เพราะน่าจะเป็นจุดกลางไปไหนมาไหนสะดวก และจะเอาให้อยู่ใกล้ จัตุรัส Djemaa el Fna และ souk (เห็นแมะ condition ค่อนข้างเยอะ)ตอนเลือกโรงแรม เราใช้เวลานานมากกก เพราะมีเยอะแยะ ต้องดูรูปดูสถานที่เปรียบเทียบ ตาลายหมด (ใช้เวลามากกว่าทำงานปรกติอีกอ่ะ 555+) แถมช่วงนั้นยุโรปเข้าเทศกาลวันหยุดอีสเตอร์ด้วย บางแห่งเต็มอ่ะ เท่าที่รู้เมืองนี้กำลังอยู่ในความสนใจของคนยุโรป บังเอิญตอนนั้นเราได้ข้อมูลล่าสุดจาก trip advisor เกี่ยวกับที่พักแนะนำ ก็เลยได้ใช้บริการ

ส่วนตั๋วเครื่องบินก็ต้องนั่งเช็คตารางบิน เพราะว่าเขาไม่ได้บินเข้าออกทุกวัน เราเลือกสายการบินราคาต่ำ easyjet เพราะลงเวลาได้ และก็ซื้อเพิ่ม Speedy Broading -SB แบบไม่แน่ใจว่าจะดีหรือเปล่า แต่ก็ลองดู ส่วนเรื่องแลกเงินก็ถือเงินยูโรไปแล้วจะแลกที่โน่นเลย


วันที่ไป สนามบินที่เมืองบาเซิล เขาเรียก Euro Airport เราก็เข้าใจได้ เพราะเป็นสนามบินร่วม 3 ประเทศ แต่ก็เป็นสนามบินเล็ก ข้างในใช้เงินยูโรแล้ว (แพงอ่ะ) ตอนไปเช็คอินก็ไม่มีอะไร พอจะ broading ขึ้นเครื่อง เขาแยกแถวธรรมดากับแถว SB เราถือ SB ก็คิดว่าเราก็ได้ขึ้นเครื่องก่อนใคร ปรากฎว่ามีคนถือ SB หลายคนเลย เขาให้เข้าแถว ใครมาก่อนขึ้นก่อนไปเลือกที่นั่งเอาเอง แล้วเขาให้แถว SB ขึ้นก่อนแถวธรรมดาไง (ขาไปยังไม่คล่อง ขากลับรู้แล้วว่าต้องทำยังไง) ใช้เวลาบินประมาณ 3.5 ชม. ก็ถึง Marrakech

สนามบินที่นี่ก็เล็กๆ เราผ่านด่านตรวจมาแบบหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะพอเขาเห็น passport ไทย ตม.เขาก็ชะงักมีการเรียกหัวหน้ามาดู ให้เขา approve อะไรทำนองนี้ เราก็คิดในใจ มีวีซ่าถูกต้องแล้วยังต้องเรียกคนมาดูมา approve ทำไมอีก แล้วทำไมไม่เห็นทำกับ passport เมืองอื่นบ้าง เพื่อนเราผ่านฉลุย ขากลับก็เป็นแบบนี้อีกนะ คนอื่นผ่านฉลุย แต่ของเราต้องรอ approve อีก ไม่รู้ว่าคนไทยเคยทำอะไรไว้ที่นี่หรือเปล่าเนี่ย (นี่คิดแบบอภัยเขาแต่ว่าคนของเรานะ)








ถ้าใครจะมาที่นี่ ก็ให้ทางโรงแรมมารับด้วยนะ อย่าพยายามหาทางเอง เขาไม่ใช้ภาษาอังกฤษ ใช้ภาษาพื้นเมืองและภาษาฝรั่งเศส ภาษาอื่นมีแต่น้อย วันที่เราไปถึงก็มีรถมารับ ดูตัวเมืองตามทางที่ผ่าน จะเห็นเขาใช้สีส้มกับตัวอาคารต่างๆ จนมาถึงกำแพงเมืองใหญ่ยาว ก็คือถึง Medina พอผ่านประตูเมืองเข้าไป โอ้โห การจราจรบ้านเราชิดซ้ายไปเลย เพราะถนนที่นี่ ใครใคร่เดินเดิน ใครใคร่ขับขับ แล้วแต่ว่าใครจะแทรกได้ไปก่อน รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ รถลาก มีรถม้าร่วมแจมด้วยนะ ดูวุ่นวายมาก รถมันเฉียดกันไปมาเลยอ่ะ

รถมาส่งเราที่ถนนเส้นนึง เราก็งง มารู้ที่หลังว่า มันเป็นเขตที่เอารถเข้าไม่ได้ คนของโรงแรมมารับ เอารถเข็นกระเป๋าแล้วเราก็เดินตามเขาไป ทางเดินที่นี้จะเป็นซุ้มโค้ง เดินไปก็เจออีก ซ้าย ขวา ทางเลี่ยง ทางแยก ดูไม่ออกหรอก ตรอกซอกซอยเยอะแยะไปหมดเหมือนเขาวงกต พอเราเห็นก็งงเหมือนกัน คิดในใจว่าเอาแล้ว งานนี้ได้หลงอีกแน่เลย ตามทางที่เดินก็จะเห็นสภาพบ้าน ชาวบ้าน ดูบ้านเมืองเขายังไม่เจริญเอามากๆ เดินไปจนถึงที่พัก ยังจำทางที่เดินไปไม่ได้เลยอ่ะ










Riad ที่พักของที่นี่ ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านเก่าหรือ mansion เก่าเอามาปรับปรุงดัดแปลงเป็นที่พัก มีไม่กี่ห้อง ลักษณะของ Riad จะเป็นแบบห้องอยู่ซ้ายขวาหน้าหลัง ตรงกลางโล่ง บันไดขึ้นชั้นบน และใช้ดาดฟ้าเป็น terrace เวลาเข้าไปในโรงแรม บรรยากาศผิดกับข้างนอกแบบหน้ามือหลังมือ ข้างในจะเงียบ ให้ความรู้สึกสงบสบาย เหมาะกับการพักผ่อน








เราไปเดินดูสุเหร่าโบราณ และไปที่จตุรัสและตลาดของเขา สีส้มจะเป็นสีพื้นของเขาเลย และก็จะมีสีอื่นๆผสมปนเปเตะตามากมาย ดูตื่นตาตื่นใจ ข้าวของไม่น่าซื้อเท่าไหร่ ราคาแพง ที่นี่ใช้เงินอิงยูโร ซึ่งพอเรามาคิดเป็นเงินบาทแล้ว รับไม่ได้ ทำให้คิดถึงตลาดจตุจักรบ้านเรามาก ข้าวของถูกกว่ากันจมเลย ที่ลานจตุรัส จะมีเต้นท์หลายเต้นท์ ส่วนใหญ่จะเป็นที่รับเพ้นท์มือเพ้นต์ตัวน่ะ มีเต้นท์แขกเป่าปี่แล้วงูยืดหัวด้วย แต่เราไม่ชอบงูก็เลยไม่เข้าไปดู




ที่นี่จะเห็นส้มอยู่เยอะแยะทั่วไป น้ำส้มเขาใช้ได้นะ แต่ราคาก็ไม่เบาเหมือนกัน คนที่นี่จะดื่มชาใส่น้ำตาล Mint Tea เราจิบตั้งแต่วันแรกที่เข้าพักเลย แต่เราชอบชาแบบไม่ใส่น้ำตาลอยู่ดี และอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่แรก คือเดินไปเดินมาในตลาดก็หลง ต้องคอยจำร้านค้าเอาอ่ะ (ตามเคย)















อาหารของที่นี่ ที่เป็นอาหารพื้นเมือง เราลองแล้วแต่ไม่ชอบ ปริมาณเยอะ เราเลยเลือกกินอาหารตะวันตกแทน ส่วนของหวานแบบพื้นเมืองเขาก็หวานมาก เราเป็นคนไม่ชอบของหวานมากๆ ก็ไม่กินเหมือนกัน ร้านอาหารต้องจองล่วงหน้านะ ไม่รู้ว่าเป็นช่วงเทศกาลหรือเปล่า คนเต็มอ่ะ เราต้องผจญภัยตอนเย็นด้วยการดูแผนที่เดินหาร้านอาหาร แล้วหลงทุกครั้ง คนที่นี่ถ้าเห็นเราถือแผนที่ขึ้นมาดูก็จะเดินมาถามว่าจะไปไหน พอบอกสถานที่ เขาก็จะชี้ว่าอยู่ทางนี้ เดี๋ยวเขานำทางให้ ครั้งแรก เราโดนเขาพาเดินอ้อมรอบโลก พอมาถึงใกล้ๆร้านอาหารที่จองไว้ มันห่างจากจุดที่เขามาคุยกับเราไม่เท่าไหร่ เสียอารมณ์ไปเลย แล้วคิดเงินค่าพาอย่างแพงอ่ะ เราไม่ให้เลย ตอนหลังเริ่มจับได้ว่าถ้าใครชี้ทางไปทิศไหน แสดงว่าของจริงอยู่อีกทิศนึง









เรามีออกนอกเมือง 1 วัน ไป Imlil เป็นเมืองเล็กแถบภูเขา เพื่อไปดูวิว เทือกเขา Atlas ระหว่างทางก็เห็นต้น Cherry Blossom ด้วย เราชอบวิวชอบธรรมชาติมาก แล้วไปเดิน trekking บนภูเขา แดดดี ไม่ร้อนเพราะช่วงนั้นอากาศหนาว ใช้เวลาเดินนานพอควร ทางขึ้นลงคดเคี้ยว แต่เดินไม่ลำบากนัก แล้วก็แวะกินอาหารเที่ยงที่ Kasbah du Toubal วิวสวยงาม อากาศดี (หนาวด้วยนะ) อาหารเป็นอาหารพื้นเมืองที่อร่อยใช้ได้เลย เนื้อแกะนุ่มอร่อยไม่เหม็นเลย









จะจดจำ Marrakech และเหตุการณ์ที่เกิดกับเราที่นี่ด้วย



















11 ความคิดเห็น:

  1. อยากดูรูปใหญ่กว่านี้ รูปที่ลงเล็กเกิน

    (เขียนให้อ่านแล้วยังเรื่องมากอีกเนอะ)

    แฟนคลับ

    ตอบลบ
  2. รูปเยอะ โหลดนาน ดูรูปเล็กๆดีแล้ว ว่าแต่เห็นรูปเราโพกหัวไหม 555

    ตอบลบ
  3. รูปเล็กเกินไปอย่างที่นพว่า เลยดูไม่ชัด แต่แค่ดูแบบไม่ชัดๆก็รู้ว่า ต้องสวยมากๆ อิจฉาจัง
    อ้าว...รูปคนที่โพกผ้านั่นหุยเหรอ เรานึกว่า ไอ้โม่งที่รัฐบาลกำลังหาตัวอยู่ ว่าจะโทรบอกนายกอยู่แล้วเชียวว่า ให้ไปจับตัวได้ที่ Marraakech ดีนะที่หุยเขียนเมนท์มาพอดี อิอิอิ...

    ตอบลบ
  4. เหมือนหุยพาเพื่อนไปเที่ยวด้วยเลย...

    ตอบลบ
  5. เราโดนโพกหัวแบบไม่ตั้งใจด้วยนะ เดินผ่านถิ่นที่เขาย้อมผ้า แล้วคนขายผ้าทั้งหลายแถวนั้นก็ส่งเสียงเรียกลูกค้าให้มาดูสินค้าเขา รายนี้เด็ดที่ว่า พอเราเดินมา เขาเอาผ้าที่เขามีมาจ่อหน้าเรา จัดแจงผูกปม แล้ววางแหมะที่หัวเราแล้วเริ่มพันเลย เราตกใจ มาทำอะไรเรา เขาก็พยายามพูดว่า เขาจะโชว์วิธีการใช้ให้ดู พันไม่นานก็เสร็จ อย่างที่เห็น เพื่อนเราถ่ายรูปได้ เราก็แกะผ้าคืนเขาแล้วเดินหนีเลยอ่ะ

    พวกเต้นท์งูก็เหมือนกันนะ จะมีคนถืองูเดินไปมา เห็นนีกท่องเที่ยวก็จะไปเดินใกล้ๆพร้อมงู ชักชวนให้ไปที่เต้นท์ เราเดินหนีห่างไปไกล เพราะเราไม่ชอบงู

    มีพวกฝึกลิงด้วย เราก็ต้องเดินหนีเหมือนกัน กลัวลิงกระโดดใส่เราแล้วไม่ปล่อยอ่ะ เจ้าของพวกนี้ไม่น่าไว้วางใจ ไม่รู้คิดไปเองมั้ง

    ตอบลบ
  6. น่าอิจฉาตรงที่มีเพื่อนไปถ่ายรูปให้ด้วยอ่ะหุย ....

    ตอบลบ
  7. เตี๋ยว4/5/53 00:58

    โอ้โห หุยนี่ ชีพจรลงเท้าจริง ๆ สงสัยชาติที่แล้วคงจะเป็นลูกหลานของ
    คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสอย่างแน่นอน มีเวลาแค่วันเดียวก็ยังหาโปรแกรม
    เที่ยวจนได้ ยังงี้น่าจะซื้อเครื่องบินส่วนตัวสักลำ แล้วหัดขับให้ได้ เผื่อจะ
    ได้พาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวด้วยกัน เพราะหุยมาเล่าให้ฟัง พร้อมภาพประกอบ
    ขนาดนี้ ทำให้เพื่อนหลาย ๆ คนรวมถึงเราด้วย ต้องอิจฉาตาร้อนเกิดกิเลส
    ในใจ อยากไปกับเขาบ้างจัง และที่ประมุขอิจฉาหุยที่มีเพื่อนช่วยถ่ายรูป
    ก็บอกแล้วให้รีบ ๆ หาคนรู้ใจไวไว เผื่อเอาไปถ่ายรูป ณ ต่างแดน แสนจะ
    โรแมนติก

    ตอบลบ
  8. ไม่ใช่ชีพจรลงเท้าหรอกเตี๋ยว เขาเรียกว่าฉวยโอกาสต่างหากล่ะ แล้วบังเอิญปีนี้งานไม่เยอะมาก จัดเวลาได้เลยลุยโลด ปีหน้าก็ไม่มีโอกาสแบบนี้หรอกนะ :( เศร้าเล้กๆ

    ตอบลบ
  9. Hui,

    เล่าเรื่อง เที่ยวญี่ปุ่นด้วยนะ เห็นรูปแล้ว สวยมาก มาก อยากไป

    ตอบลบ
  10. แหม! ท่านเตี๋ยวช่างรู้ใจเราจัง เพราะงั้นปีหน้าตามไปถ่ายรูปให้หน่อยนะจ๊ะ คิคิ

    ตอบลบ
  11. เตี๋ยว5/5/53 02:08

    ต้องถือว่า หุยนี่ เป็นนักฉวยโอกาสตัวแม่จริง ๆ จากมอรอคโค
    ไม่ทันไรก็ไป Matterhorn เห็นท่านลุงว่ายังมีญี่ปุ่นตามมา
    น่าอิจฉาซ้ำซ้อนจริง ๆ ส่วน ท่านประมุข ขอให้สบายใจได้เลย
    เพราะ ท่านประมุข และ หุย ช่วยกันบรรยายความสวยงามของ
    วิวทิวทัศน์เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุยขนาดนี้ นับว่ามีสีสันเป็นยิ่งนัก
    จักต้องมีเพื่อน ๆ อีกหลายท่าน แหย้งกันตามไปถ่ายรูปให้กับ
    ท่านประมุขอย่างแน่นอน

    ตอบลบ