เยือนถิ่นซากุระตอนจบ

เนื่องจากเกียวโตเป็นเมืองเก่า สถานที่ส่วนใหญ่ที่ไปดูจึงเป็นวัดกับศาลเจ้า แต่ที่นี่ยังมีปราสาทราชวังเก่ารวมอยู่ด้วย วันสุดท้ายที่เกียวโต เราวางแผนไว้ว่าเช้าจะไปเที่ยวดูปราสาทราชวัง แล้วบ่ายจบ trip ที่นี่ก็ย้ายตัวไปโอซาก้า

ปราสาทที่เราไปคือ ปราสาท Nijo Castle สร้างปี 1603 เพื่อเป็นที่พำนักของ Tokugawa Shogun ปราสาทนี้มีประวัติความเป็นมายาวเหยียด ไม่เล่าล่ะ แต่ว่าปี 1994 ได้ขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลก (ความจริงมีสถานที่หลายแห่งของญี่ปุ่นได้ขึ้นบัญชี เขารักษาของเขาดีอ่ะ) ค่าเข้าชมคนละ 600 เยน ภายในปราสาทจะแบ่งเป็นห้องๆ ห้องโชกุน ห้องรับรอง ห้องรอ ห้องต่างๆจะเป็นห้องโล่ง ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ ผนังบานเลื่อนแบบญี่ปุ่น มีศิลปะภาพวาดบนผนังที่เขาเก็บรักษาไว้ สีแดงก็ยังดูแดง สีทองก็ดูทอง ด้านนอกปราสาทจะเป็นป้อมกำแพงวัง ใช้หินก้อนเบ้อเริ่มเลยในการสร้าง คนสมัยก่อนเก่งนะ บริเวณถัดไปจะเป็นสวน มีต้นซากุระสวยๆมากมายเลย

ออกจากที่นี่เราก็ไปที่ Kyoto Imperial Palace ที่นี่จะเข้าไปชมด้านในต้องไปขออนุญาติจากสำนักงานจัดการก่อน ต้องยื่นขอพร้อม passport เขาจะมีรอบให้เข้าชมพร้อมคนพาเข้าไป แต่ว่าเราไปถึงก็ไม่ทันรอบเขา เลยไม่ได้เข้าไปภายใน ได้แต่เดินดูรอบๆ ดูสวน ต้นซากุระ (อีกแล้ว)

วันนี้ฝนก็ยังตกอยู่ดี เราอำลาเกียวโตแล้วก็ลากกระเป๋าไปโอซาก้า ที่นี่จะใช้ subway กันเป็นส่วนใหญ่ ที่นี่เป็นเมืองใหญ่ไม่เหมือนเกียวโต จอกแจกจอแจมากกว่ากันเยอะเลย เราเลือกพักแถว Namba เพราะว่าสะดวกตอนเดินทางกลับ ไม่ต้องลากกระเป๋าเปลี่ยนรถบ่อยๆ (หนักอ่ะ) โรงแรมที่พักอยู่ตรงข้ามสถานีเลย มี exit ขึ้นลงหน้าโรงแรม สะดวกแบบไม่คาดคิด โรงแรมก็ดีกว่าที่คาดเยอะเลย ชอบจัง

สถานที่แรกที่เราไปคือ Osaka Aquarium Kaiyukan เขาว่าเป็นอควาเรี่ยมที่ใหญ่ที่สุดในโลก เราเคยไปดูที่สิงคโปร์ ที่ออสเตรเลีย จะไม่มาดูที่นี่ได้ไง ค่าเข้าชมคนละ 2000 เยน เราซื้อตั๋วพิเศษรวมค่ารถไฟ 2400 เยน (จะนั่งรถไฟกี่เที่ยวก็ได้ในวันนั้น) ข้างในมีปลาใหญ่ยักษ์มาก ที่อื่นสู้ไม่ได้ อูโมงค์ใต้น้ำยาวกว่าบ้ายเรา สัตว์น้ำต่างๆเขาน่าดูนะ ชอบจัง เห็นฝูงเพนกวินยืนหลับตลกดี ออกจากที่นี่ก็ค่ำแล้ว ฝนยังตกอยู่ อากาศหนาวมาก

วันรุ่งขึ้น เราแวะซื้อตั๋ว unlimited pass 2 วัน ราคา 2700 เยน ใช้นั่ง subway ได้สองวันไม่จำกัดจำนวนครั้ง และรวมค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆทั้งหมด แล้วเราก็เริ่มที่ Osaka Castle สัญญลักษณ์ของโอซาก้า ที่อยู่ท่ามกลางตึกสูงๆทั้งหลาย ที่ปราสาทนี้เขาทำเป็น musuem แต่ละชั้นที่เราเดินขึ้นไปจะเป็นประวัติศาสตร์ตั้งแต่ในยุคแรกๆ เขาทำของเขาดีจัง มีทั้งหนัง ทั้งฉากจำลอง เรื่องเล่าแสงสีเสียง แตกต่างกันไปในแต่ละชั้น เดินอ่านเดินดูเพลินเลย ชั้นบนสุดจะเป็น observation deck ดูวิวทั่วกรุงโอซาก้า

เรามีนั่งรถรางรอบปราสาท ดูสวนดูต้นไม้ ต้นซากุระที่นี่โรยหมดแล้วล่ะ ฝนตกก็ไม่เหลือแล้ว เสียดายเหมือนกัน เราเดินดูรอบๆด้วย สถานที่กว้างมาก แถมมีร้านทาโกะยากิให้หม่ำอย่างอร่อย :)

จากที่นี่เราไป Osaka Musuem of History ที่อยู่ไม่ไกล อยู่ติดกับตึกสถานี NHK เลย เดินดูจนทั่วแล้วก็ไป ศาลเจ้า Temmangu

แล้วก็ไปดูหอคอย Tsutenkaku ต้องไปเข้าคิวร่วมชั่วโมงเพื่อขึ้นไปข้างบน ที่ด้านบนก็ไปดูวิวอีกนั่นแหละ ที่นี่มีรูปปั้นเทพเจ้า Blingen ให้ลูบเท้าของรูปปั้นแล้วจะโชคดีมีสุข เราก็ลูบด้วยเหมือนกัน ออกจากนี่เราก็ไปย่าน Dotombori เพื่อไปกินมื้อเย็นเป็นขาปูยักษ์ มีทั้งย่าง นึ่ง ซูชิ และสุกี้ ฉลองวันเกิดลูกชายคนเล็ก หมดไปหลายตังค์แต่ก็อร่อยมากขอบอก

วันรุ่งขึ้นเป็นวันสุดท้ายที่มีเวลาอยู่ที่โอซาก้า เช้าเราไปวัด Shitennoji วัดที่นี่ไม่ใหญ่ และดูไม่ขลังเท่าที่เกียวโตนะ ตามความรู้สึก หลังจากนั้นลูกเราขอไม่ไปไหนแล้ว จะขอซื้อของ เพราะยังไม่ได้หาซื้อของที่เขาอยากได้เลย เราก็เลยพากันไปที่ย่านดัง Dotombori / Shisaibashi แหล่ง shopping ใช้เวลาทั้งหมดที่นั่น จะเห็นกองทัพมดอยู่ที่นั่น เราได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวเป็นภาษาไทยแสดงว่ากองทัพคนไทยอยู่ที่นั่นเหมือนกัน 555

มางวดนี้เราตกลงกันไว้แล้วว่าจะต้องชิมอาหารญี่ปุ่นให้ครบ อุด้ง ราเมน ซาซิมิ ซูชิ สุกี้ ทาโกะยากิ ข้าวราดหน้าต่างๆ โอโคโนะมิยากิ ยากิโซบะ อาหารย่างๆทอดๆ ขนมญี่ปุ่น ขนมเค้ก ชูครีม แต่ที่ไม่ได้กินคือเนื้อโกเบ เพราะลืม เป็นไปได้ไงเนี่ย :( เสียดายจัง เก็บไว้คราวหน้าแล้วล่ะ

ใครที่คิดจะไปเที่ยวเอง เที่ยวได้สบายขอเชียร์ แค่เตรียมเงินเตรียมแรง เดินเยอะมาก ช่วยให้พุงลดไปหน่อยนึงจ้า