11 กรกฎาคม 2552

วัดพลับพลาชัย

วัดพลับพลาชัย(สร้างเมื่อ : ราว พ.ศ. 2199-2228)
วัด พลับพลาชัย ซึ่งเป็นอารามหลวงก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เมื่อก่อนคนในย่านพลับพลาไชย เยาวราชเรียกกันสั้นๆ ติดปากว่า “วัดโคก” หรือ “วัดคอก” คล้ายๆ กับวัดยานนาวา
วัดโคกในเขตป้อมปราบฯ นี้สร้างมาตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยา ในแผ่นดินของสมเด็จพระนารายณ์ แต่ในขณะนั้นวัดนี้ไม่มีบันทึกที่แน่ชัดถึงชื่อที่แท้จริงของวัดที่สร้างในบางกอกที่นี้ มาจนกระทั่งเข้าสู่ยุครอยต่อปลายกรุงศรีอยุธยา และ ต้นธนบุรี เราจึงได้ทราบจากพระราชพงศาวดารกรุงเก่าที่บันทึกไว้ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นว่า เจ้าพระยาจักรี (พระยศเดิมของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อครั้งยังเป็นทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสิน) ว่าพระองค์โปรดให้ทำนาที่ทะเลตมซึ่งมีลักษณะเป็นโคกใหญ่ และ รับสั่งให้ตั้งคอกวัวไว้ที่นี่ด้วย” ดังนั้นวัดนี้จึงมีชื่อสามัญจากสภาพของโคก และ คอกวัว
ณ ที่นี้ วัดโคก หรือ วัดคอกนี้ เป็นวัดที่ประกอบสังฆกรรมให้กับชาวไทยและชาวจีนในบริเวณนั้นมานานร่วม 100 ปี จวบจนกระทั่งเข้าสู่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงได้ทรงเปลี่ยนนามของวัดใหม่นี้ให้เป็น “วัดพลับพลาชัย” และทรงรับเป็นอารามหลวงในสายมหานิกาย และต่อมาวัดก็ขยายกิจกรรมสงฆ์จากเดิมที่มีเพียงการทำสังฆกรรมสงฆ์ในหมู่สงฆ์และพุทธบริษัทแล้ว ก็ยังเปิดให้มีโรงเรียนวัดพลับพลาชัยในบริเวณวัดอีกด้วย
จากการสืบค้นประวัติวัดพลับพลาชัยดู ปรากฏว่ามีการกล่าวถึงแตกต่างกันไป
จาก หนังสือ "หญิงชาวสยาม" โดย คุณอเนก นาวิกมูล

ได้เล่าให้ฟังไว้ว่าวัดพลับพลาชัย หรือ วัดโคกอีแร้งเดิมนั้นเป็นที่ประหารนักโทษ
รูปและเรื่องราวตัวอย่างจริงของการประหารที่วัดพลับพลาชัยในอดีตสมัย ร.5 มาให้ดูกัน
...จาก จดหมายเหตุของจมื่นเก่งศิลป์ (หรุ่น) ซึ่งรวมพิมพ์อยู่ในหนังสือประชุมพงศาวดาร ภาคที่๘ แต่บันทึกเพียงสั้นๆไว้ว่า " ปีมะเส็ง จ.ศ ๑๒๔๓ วันเสาร์แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๑ ประหารชีวิตอีเมียพระบันภาเอาไม้ตำอีเล็กทาสตาย " ในหนังสือราชกิจจานุเบกษา ฉบับบพิเศษที่ผู้เขียนเก็บเรื่องอีอยู่มาเรียบเรียงท้ายสุดของเรื่องได้ลงข่าวประหารชีวิตอีอยู่สั้นๆว่า..." ข่าวการประหาร.. ณ วันเสาร์ เดือนสิบเอจ แรมเจดค่ำ เจ้าพนักงานกรมพระนครบาลได้เอาตัวอีอยู่ผู้ร้ายลงพระราชอาญา ๓ ยก ๙๐ ที แล้วเอาตัวไปประหารเสียที่วัด พลับพลาไชย แลได้เอาตัวอ้ายฮาน อ้ายสด อีเทียนผู้ช่วยอีอยู่ที่ทำกับอีเกลี้ยงจนตายนั้น ลงพระราชอาญาคนละ ๒ ยก ๖๐ ที แล้วเอาตัวจำไว้ในคุก แลได้เอาตัวอ้ายเอี่ยม อ้ายเทือง อ้ายลา อ้ายเยื้อ ผู้สมรู้ลอบเอาศพอีเกลี้ยงไปฝังแลยังช่วยป้องกันมิให้สัปเหร่อตรวจตรา ลงพระราชอาญาคนละ ๓๐ ทีที่น่าหับเผยนั้นเสรจแล้ว."

....ในกรุงเทพฯตื่นเต้นตกใจกันมาก เพราะเกิดฆาตกรรมอันน่าสยดสยองเกิดขึ้นรายหนึ่ง ผู้ต้องหาเป็นภรรยาของชายผู้มีตระกูลคนหนึ่ง ได้กระทำการฆาตกรรมคนรับใช้ของตนเอง...มีหลักฐานอยู่พร้อมมูลว่า ความหึงหวงเป็นเหตุ และผลที่เกิดขึ้นก็คือการฆาตกรรมอันโหดร้ายไร้มนุษย์ธรรมที่สุดครั้งนี้ ในที่สุดได้มีการพิจารณาคดีกันจนเรียบร้อยและพิพากษาให้ประหารชีวิตจำเลย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งปกติไม่ค่อยได้เต็มพระทัยในการลงพระปรมาภิไธยในคำสั่งประหารชีวิตนัก ก็มิได้ทรงรีรอในคดีรายนี้ ตามธรรมเนียมการประหารชีวิตจะต้องนำหญิงนักโทษจำโซ่ตรวนไปเดินร้องประจานความชั่วร้ายและโทษทัณท์ของตนเสียก่อนจึงจะประหาร ๓ วัน

....นักโทษประหารนั่งอยู่กับพื้น ที่คอมีท่อนไม้ท่อนยาวๆผูกกระหนาบทั้งสองข้าง และยังมีท่อนไม้สั้นสอดขวาระหว่างไม้สองท่อนอีกทีหนึ่งอยู่ที่ใต้คางท่อนหนึ่งจนยื่นศีรษะออกมาไม่ได้ ปลายไม้นั้นยาวจนถึงพื้นแล้วยังมีไม้มาขัดไว้อย่างเดียวกันอีก ที่ข้อมือนักโทษใส่กุญแจเหล็ก และข้อเท้าก็ตีตรวนล่ามโซ่ไว้


....นักโทษนั่งก้มหน้าดูพื้น มีครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นที่เหลียวไปมองรอบๆ ดูคล้ายกับจะมีการให้ยาระงับประสาท อย่างแรงแก่นักโทษด้วย เพราะดูนักโทษซบเซาแทบจะไม่รู้สึกตัวเอาเลย มีเพื่อนหญิง ๓ คนนั่งอยู่รอบข้างคอยพูดปลอบประโยมไม่ให้ตกใจกลัว และบอกว่าอีกไม่ช้าก็จะได้เป็นสุขแล้ว นอกจากนั้นมีพระองค์หนึ่งเทศน์อยู่ตรงหน้า แต่นักโทษไม่สนใจฟังแม้แต่น้อย ส่วนที่น่าสงสารที่สุดของนักโทษก็คือหลัง เพราะหล่อนถูกเฆี่ยนอย่างแรงที่สุดด้วยเชือก ๓ ยกมาแล้วเป็นจำนวน ๙๐ ที ซึ่งนับว่าเป็นการลงโทษอย่างหนักที่สุดที่เคยมีมาและเป็นการลงโทษขนาดหนักที่หลายคนถึงกับไม่รอด

....ผู้คุมนำนักโทษ มีทหารคุ้มกันอีกชั้นหนึ่ง นำนักโทษออกมาจากศาลาเมื่อเวลาบ่าย ๓ โมงตรง ทหารต้องไปยืนกั้นคนให้มีที่ว่างไว้ตรงกลางเพื่อให้เป็นที่นั่งของนักโทษ เจ้าหน้าที่ถอดขื่อคาที่สวมคอนักโทษออกให้หันศีรษะได้สะดวกแล้ว ออกคำสั่งให้นักโทษนั่งลงกับพื้น หันหลังให้เสาร์ไม้เล็กๆสองต้น เพชรฆาตคนหนึ่งตรงเข้ามัดตัวและแขนนักโทษติดไว้กับเสาร์สองต้นนั้น มีเพชรฆาตทำหน้าที่ประหารถึง ๖ คนด้วยกัน ทุกคนจะใส่เสื้อแดงติดดอกไม้สีทองที่ชายเสื้อและใส่หมวกแดง ที่หน้าผากเจิมด้วยฝุ่นหรือดินสอพองสีขาว

...เมื่อเพชรฆาตคนแรกผูกนักโทษติดกับเสาแล้วก็เตรียมตัวตัดศีรษะ โดยการตัดผมยาวของนักโทษหญิงนั้นออกเสียก่อน เพื่อให้มองเห็นคอได้ถนัด ต่อจากนั้นก็หยิบดินเหนียวมาคลึงกับฝ่ามือ แล้วแบ่งออกเป็นก้อน ส่วนหนึ่งเอาอุดหูนักโทษไว้เพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงต่างๆที่เกิดขึ้น อีกส่วนหนึ่งอุดจมูกนักโทษ แล้วเอาดินเหนียวอีกก้อนแปะไว้ตรงตำแหน่งที่จะลงดาบ ตลอดเวลาที่เตรียมการอยู่นี้ หญิงนักโทษก็ตะโกนร้องอยู่ว่า " ฆ่าฉันเสียเร็วๆ..ฆ่าฉันเสียเร็วๆ "

...ต่อจากนั้นก็มีการรำดาบก่อนประหาร พวกเพชรฆาตพากันเดินไปอยู่ไม่ไกลจากนักโทษ แกว่งดาบอยู่ไปมาแล้วรำดาบถอยหน้าถอยหลังสักครั้งหรือสองครั้ง แล้วเพชรฆาตที่หนึ่งก็วิ่งเข้ามาฟันอย่างแรงทีเดียว ศีรษะขาดเลือดพุ่งออกจาก ร่างที่ไม่มีหัวราวกับน้ำพุ ส่วนหัวก็กลิ้งตามพื้นดิน ผู้คนเริ่มทยอยออกไปกันอย่างช้าๆ มีเสียงพูดกันพึมพำว่า " มันได้รับผลกรรมของมันแล้ว " ไม่มีคำพูดแสดงความสงสารหญิงคนนั้นสักคำเดียว แม้แต่ในหมู่ญาติพี่น้องของหล่อนเองก็ไม่มี

...พวกเพชรฆาตได้จัดการทำธุระให้เสร็จต่อไป แทนที่จะถอดโซ่ตรวนรอบข้อเท้าหญิงผู้ตายออก เขากลับตัดข้อเท้าออกโซ่ตรวนก็หลุดลงมาเอง แล้วจึงตัดร่าง ออกเป็นชิ้นๆแล่เนื้อออกจากกระดูก เช่นเดียวกับศพคนเข็ญใจที่วัดสระเกศที่เคยได้เล่าให้ฟังแล้ว ตับไตใส้พุงก็ทิ้งไว้ให้เป็นทานแก่ฝูงแร้งกา แต่ศีรษะผู้ตายเอาไปเสียบไม้ไผ่ลำยาวปักประจานไว้ให้มองเห็นได้ไกลๆตามที่เคยปฏิบัติกันมา.สวัสดีครับ


......จึงมีบทความ ของแหล่งที่มา ของวัดพลับพลาชัย 2แห่ง เพราะเคยได้ยินเรื่อง โคกอีแร้งมาเหมือนกัน
ส่วนชื่อ วัดพลับพลาชัย หรือ วัดพลับพลาไชย นั้น ในบทความยังมีอยู่ทั้งคู่




2 ความคิดเห็น:

  1. ประวัติศาสตร์อันยาวนานของวัดย้อนไปหลายร้อยปีเหมือนกันเนอะ

    ตอบลบ
  2. ให้คะแนน pat ที่หาข้อมูลมานะนี่ ข้อมูลบรรยายเรื่องประหาร น่าหวาดเสียวมาก สงสัยว่าเอาดินเหนียวอุดจมูกทำไม เพราะต้องใช้เวลาอีกตั้งนานในการรำดาบกว่าจะถึงเวลาประหาร

    ตอบลบ