24 กันยายน 2553
หนึ่งวันที่มิลาน
หลังจากที่เราเสร็จงานที่เมือง Vicenza ขากลับจะผ่านทาง Milan ไหนๆผ่านทั้งทีเราก็เลยแวะที่เมืองนี้หนึ่งวัน ด้วยเหตุว่าเราไม่เคยมาเมืองนี้เลยสักครั้งเดียว และเชื่อไหมไม่มีใครที่เรารู้จักบอกว่าต้องมาเมืองนี้ มีแต่พูดถึงเวนิส ฟลอเรนซ์ โรม และทางใต้ของอิตาลีทั้งนั้น
เมื่อไม่เคยมาก็อยากจะมาให้เห็น เขาว่าเป็นเมืองแฟชั่น เราก็จะนึกถึงอาคารแบบยุโรปยาวเป็นแถบสองข้างถนน มีร้านค้าแบรนด์เนมต่อเป็นแถว ก็ถนนแฟชั่นไง นึกถึงสถานที่เก่าแก่ มี Duomo โบสถ์โรมันคาธอริคที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ มีโรงละครเก่าแก่ มีนู่นนี่ คิดว่าน่าดูนะ
พอเราเข้าถึงตัวเมืองมิลาน ความรู้สึกเราก็แปลกๆไป เราเห็นเมืองเป็นเมืองใหญ่ แบบเมืองด้านการเงิน การอุตสาหกรรม ตึกรามบ้านช่องก็เป็นแบบยุโรปแหละ แต่เป็นแบบที่เรียกว่า big city น่ะ ไม่รู้จะอธิบายเป็นภาษาไทยว่าไง ความรู้สึกมันแข็งกระด้างไม่นุ่มนวลชวนฝันน่ะ จุดที่นักท่องเที่ยวจะไปเป็นจุดเมืองเก่า ซึ่งมี Piazza del Duomo หรือจตุรัสดูโอโม ที่นี่จะเห็นโบสถ์ที่เราพูดถึง สวยเด่นตระหง่าน มีรูปปั้น Vittorio Emanule ที่กลางลาน เราเข้าไปในโบสถ์ พอดีเขากำลังมีพิธีกรรมด้านใน ห้ามส่งเสียงดัง เราเดินดูกระจกสี ภาพเขียน สวยงามมาก แล้วก็ออกมา ไม่ได้ขึ้นไปด้านบน
ออกจากโบสถ์ ใกล้กันจะเป็นปราสาทที่ดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ พอดีเขาปิด เราก็ไม่ได้เข้าไป อีกด้านของโบสถ์จะเป็น Galleria Vittorio Emanule II เป็นตึกเก่าหลังคากระจก งามสง่า ข้างในเป็น shopping arcade ร้านยี่ห้อดังๆทั้งหลาย เดินดูภายในตึก ดูร้านค้า เรื่อยไปถึงสุด ก็จะทะลุออกไปเจอ La Scala Opera House อันมีชื่อเก่าแก่ของที่นี่ เราเดินดูไม่นานก็เดินเลี้ยวกลับ
พอดีช่วงที่เราไป มีงานแสดงภาพวาดของดาวินชี่ เราก็เลยไปดู ข้างในพิพิธภัณฑ์ จะมีห้องหลายห้อง มีภาพวาดต่างยุคสมัย เรียงราย เราไม่ทันดูโบรชัวร์ ก็นึกว่าคงได้ดูหลายภาพของดาวินชี่ พอไปถึงห้องแสดงภาพของดาวินชี่ เห็นอยู่ภาพเดียว เลยรู้สึกเซ็งเล็กน้อย แต่ภาพอื่นๆที่เห็นในห้องอื่น ก็ประทับใจมากเหมือนกัน
มีถนนเส้นอื่นที่เขาเรียกกันว่าถนน shopping เพราะจะมีร้านเรียงรายตามถนนที่เดิน จะเป็นช่วงๆไป เราก็เดินไปเรื่อยดูโน่นดูนี่ ซื้อของไม่ลงหรอก เพราะราคาแพงเมื่อคิดเป็นเงินบาท ทั้งๆที่ตอนนี้ 1 ยูโรประมาณ 40 บาท ซึ่งนับว่าใช้ได้เลยนะ นอกจากเข้าแวะดูตามร้าน (แหม ถึงไม่ได้ซื้อก็ขอเข้าไปดูหน่อยล่ะน่า) ก็เงยดูตัวตึกที่ผ่าน
ยังมีสถานที่อื่นที่นักท่องเที่ยวไปดูกัน แต่เราก็ไม่ได้ไป เพราะมัวเสียเวลาเดินดูโน่นนี่ แล้วเราไม่ได้มีเวลามากเท่าไหร่ อย่างที่บอก เราเดินในส่วนที่เป็นเมืองเก่า แต่ตัวเมืองจริงจากที่เห็น ตามความคิดเรา ไม่มีอะไรน่าดูเท่าไหร่ เป็นอีกหนึ่ง big city ที่เหมือนๆกันทั่วโลก แตกต่างกันตรงสถาปัตยกรรมเท่านั้น ต้องยอมรับเราไม่ค่อยประทับใจกับเมืองนี้นัก ได้มาเห็นครั้งนึงสมใจอยากแล้วก็โอเคไง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
เต็มอิ่มจริง ๆ สำหรับสามตอนในอิตาลี ทั้งภาพและคำบรรยาย By Hui
ตอบลบทำให้ใจหนึ่งก็อยากจะเยือนอิตาลีสักครั้ง แต่อีกใจหนึ่งก็เหมือนกับไปมา
หมดแล้ว เพราะหุยได้เก็บภาพและบรรยายได้ครบถ้วนกระบวนความจริง ๆ
ยิ่งกว่าไปเองเสียอีก เอะ เห็นบอกว่าของแพงซื้อไม่ลง แต่เผอิญเหลือบไปเห็นในมือถือถุงอะไรหว่า ...
หุยโชคดีจังเลย ที่มีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ ว่าแต่เดินคนเดียว ไม่รู้สึุกเหงาบ้างหรือจ๊ะ?...
ตอบลบขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าที่สนุกสนาน อ่านเพลิน...ขอบคุณสำหรับรูปถ่ายสวย ๆ ที่อุตส่าห์เอามาแปะไว้ให้ชมกัน.
จะคอยอ่านบทความของหุยในโอกาสต่อ ๆ ไปนะ!
หุย...
ตอบลบเพื่อนๆ เค้ามีแอบเป็นห่วง(และน้อยใจ)แทนหุยที่มีคนเข้ามาcomment กันน้อยเกินไป ทั้งที่การที่หุยจะเอาเรื่องราวดีๆ มาลงให้อ่านต้องเสียสละเวลาและความตั้งใจมาก (อันนี้เรารู้สึกได้เองเลยด้วย) แต่เราเชื่อว่าคนที่เข้ามาอ่านมีมากหลาย-เพียงอ่านไปก็นั่งยิ้มชื่นชมหุยไปพออ่านจบก็ลืมว่าพิมพ์ "ก" สักตัวก็ยังดี
เราว่าหุยรู้สึกได้ว่าเพื่อนๆ ชอบอ่านเรื่องราวของหุย ของทุกคนที่เอามาแบ่งปันกันด้วยความขอบคุณมากๆ อยู่ในใจนะ
เขียนยาวไปหน่อยด้วยความคิดถึงจ๊ะ
แล้วจะเข้าอ่านทุกๆตอนนะ แล้วนายเลิศชัยจะยุ่งกะเขาทำไม เดินคนเดียวสบายดี
ตอบลบหมอก
อยากจะไปช่วยถือถุงให้น่ะ...กัวว่าจาหนาก
ตอบลบ