27 สิงหาคม 2552

กายบริหารแกว่งแขน

ประวัติความเป็นมาของ "กายบริหารแกว่งแขน"
ในปีพุทธศักราช ๑๐๗๐ ซื่งตรงกับรัชสมัยราชวงศ์เหลียงพระสังฆปรินายกโพธิธรรมชาวอินเดียหรือที่ชาวจีนเรียกว่า “ต๋าโม” (TA MO) ได้เดินทางมายังประเทศจีนและปักหลักเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่นั้นเป็นเวลาหลายสิบปี

ครั้งหนึ่งในระหว่างการเทศนาและการทำสมาธิ ท่านพบพระสงฆ์หลายรูปมีสุขภาพอ่อนแอ และบางรูปถึงกับนอนหลับไปด้วยความเมื่อยล้าอ่อนเพลีย พระปรมาจารย์ ต๋าโม๋ จึงได้ชี้ไห้เห็นว่า “ร่างกายที่แข็งแรงเท่านั้น จึงจะยืนหยัดฝึกจิตบำเพ็ญธรรมได้สำเร็จ”

ก่อนหน้าที่ท่านจะได้เน้นถึงความสำคัญของร่างกายอันได้แก่พลังและท่าทางของร่างกายที่เหมาะสมในการฝึกสมาธินั้นพุทธศาสนิกชนต่างเน้นแต่การฝึกจิตโดยละเลยร่างกาย ดังนั้นท่านปรมาจารย์ ต๋า โม๋ จึงได้คิดค้นท่าบริหารร่างกาย สำหรับพระสงฆ์ในตอนเช้าเพื่อส่งเสริมสุขภาพและ บันทึกขึ้นไว้เป็นคัมภีร์ ๓ เล่มได้แก่

๑. คัมภีร์ อี้ จิน จิง คือ วิชาเปลี่ยนเส้นเอ็น
๒. คัมภีร์ สี สุ่ย จิง คือ วิชาชำระไขกระดูกให้สะอาด
๓. ลอ ปา หลัว ฮั่ว โส่ว คือ เพลงมวยฝามือสิบแปดอรหันต์
และคัมภีร์ อี้ จิน จง ซึ่งเป็นหนึ่งในคัมภีร์อันล้ำค่าของพระโพธิธรรม (ต๋า โม๋ อี้ จิน จิง) ก็คือ หนังสือกายบริหารแกว่งแขนบำบัดโรคเล่มที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ นั่นเอง

กายบริหารแกว่งแขน คือ อะไร?

กายบริหารแกว่งแขนนี้ เดิมทีเดียวเรียกว่า “ต๋า โม๋ อี้ จิน จิง” ซึ่งก็คือ คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของพระโพธิธรรม
คำว่า “เปลี่ยนเส้นเอ็น” มิใช่หมายถึง ผ่าตัดเปลี่ยนเอาเส้นเอ็นออกมาตามความเข้าใจของการแพทย์แผนปัจจุบันแต่เป็นการปรับเปลี่ยนแก้ไขสภาพของเส้นเอ็นด้วยการออกกำลังกายโดยวิธีแกว่งแขนซึ่งจะส่งผลให้เลือดลมภายในโคจรไหลเวียนได้สะดวก เป็นปกติไม่ติดขัด

ต่อมา ”คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น” นี้ได้ถูกเรียกชื่อเสียใหม่ว่า “กายบริหารแกว่างแขนบำบัดโรค” เพื่อให้คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น ตำราโบราณนี้จึงเป็นหนังสือวิชาที่เก่าแก่มีอายุถึง 1400 ปี ซึ่งนับได้ว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชนชาติจีน อันมิอาจประมาณค่าได้ชิ้นหนึ่ง
“กายบริหารแกว่งแขน” มีประโยชน์อย่างไร?

กายบริหารแกว่งแขน เป็นวิธีออกกำลังเพื่อบริหารร่างกายที่มีประโยชน์มากวิธี หนึ่ง หลังจากได้มีการค้นพบและเผยแพร่ตำรานี้ออกมาที่นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณะรัฐประชาชนจีน ก็มีประชาชนนิยมทำกายบริหารแบบนี้ทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆโรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายได้โดยการแพทย์ปัจจุบัน ก็สามารถใช้การบริหารแบบง่ายๆ นี้รักษาให้หายขาดได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ จนแทบไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ กายบริหารแกว่งแขนนี้ ทำง่ายหัดง่าย และเป็นเร็ว นอกจากนี้ยังมีประสิทธิภาพในการบำบัดโรคได้รวดเร็วอีกด้วย โรคเรื้อรังมากมายหลายชนิดก็สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยวิธีทำกายบริหารแบบนี้

เหตุใดการบริหารแกว่งแขนจึงสามารถบำบัดโรคต่างๆได้

สิ่งที่เป็นปัญหาเกิดขัดแย้งกันภายในร่างกายของคนเราจนก่อให้เกิดความไม่สบายแก่ร่างกายนั้น แพทย์จีนแผนโบราณกล่าวว่า เกิดจาก “เลือดลม” เป็นต้นเหตุ หากเลือดลมภายในร่างกายของเราผิดปกติโรคต่างๆ มากมายก็จะเกิดขึ้นกับเราทันที เริ่มแรกจะทำให้เรารับประทานอาหารได้น้อยลง นอนหลับน้อยลง ต่อไปก็จะกระทบกระเทือนถึงสภาพของร่างกายคือทำให้ซูบผอมอ่อนแอเป็นต้น เมื่อเราทำให้เลือดลมเดินสะดวกไม่ติดขัดแล้ว โรคร้ายทั้งหลายก็จะหายไปเอง โดยอาศัยหลักดังกล่าวนี้ การทำกายบริหารแกว่งแขนจึงสามารถแก้ไขเลือดลมและเปลี่ยนแปลงสภาพของร่างกาย หากแก้ให้ถูกจุดสำคัญที่ขัดแย้งกันเสียก่อนได้ เมื่อนั้นปัญหาอื่น ๆ ก็จะแก้ได้ง่ายดายขึ้น

ถ้าเราสังเกตใหัดีจะพบว่า ขณะที่ คนเราเกิดความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า อันเนื่องมาจากการคร่ำเคร่งปฏิบัติงาน ไม่มีโอกาสเปลี่ยนอริยาบถ จนกระทั่งทนต่อไปไม่ไหวแล้วเราก็จะชูแขน เหยียดขา ยืดตัวจนสุด อย่างที่คนทั่วไปเรียกว่า “บิดขี้เกียจ”ทันทีหลังจากนั้นเราจะรู้สึกสบายตัวกระชุ่มกระชวยขึ้นอย่างบอไม่ถูก ซึ่งอาการเหล่านี้แท้จริงแล้วก็คือ “การยึดเส้นเอ็น” ตามความหมายในคัมภีร์โบราณนั่นเอง

การที่เส้นเอ็นซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย มีโอกาสยืดขยายหรือถูกนวดเฟ้น จะทำให้เลือดลมภายในสามารถกระจายไหลเวียนได้สะดวก อันเป็นเหตุให้เกิดความผ่อนคลาย หายเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเกิดความกระปี้กระเปร่าสดใสขึ้น และที่สำคัญ เลือดลมที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงไปทั่วร่างกายได้อย่างสะดวก จะช่วยเปลี่ยนสภาพอวัยวะที่ แข็งกระด้าง ซึ่งเป็นความผิดปกติ ให้กลับกลายเป็นอ่อนนิ่ม และจากสภาพที่อ่อนแอ่ไม่มีประสทธิภาพ ให้กลับคืนมาเป็นแข็งแรงและมีสมรรถภาพดีขึ้น

แต่โดยทั่วไปคนเราได้ละเลยและมองข้ามความสำคัญของการบริหารกายเพื่อยืดขยายเส้นเอ็น ภายในร่างกาย จึงทำให้เลือดลมเดินไม่สะดวกและติดขัด เปรียบเทียบกับเครื่องยนต์ที่น้ำมันถูกส่งมาหล่อเลี้ยงไม่สม่ำเสมอ ย่อมเป็นเหตุให้รถที่วิ่งไปมีอาการกระตุก ๆ ไม่ราบรื่น ร่างกายของคนเราก็เช่นกันหาก“เลือดลมติตขัด” ก็จะส่งผลให้ป่วยเป็นโรคต่างๆ สุขภาพจะทรุดโทรมย่ำแย่ลงไปเรื่อย ๆ อันที่จริงการเจ็บป่วยไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคชนิดใด ใช่ว่าจะเป็นเรื้อรังอยู่เช่นนั้นโดยไม่มีทางแก้ไขเยียวยาก็หาไม่ ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า เราจะต่อสู้กับโรคชนิดนั้นหรือไม่? หากเราตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องต่อสู้กับโรคร้ายที่เกาะกินเราจนถึงที่สุดแล้ว แน่นอนเหลือเกินเราจะต้องประสบชัยชนะ

การบริหารร่างกายโดยวิธีแกว่งแขนนี้มีเหตุผลและหลักวิชาที่ลึกซึ้งแยบยล มิใช่เป็นสิ่งที่ปฏิบัติไปโดยหลงงมงายขาดเหตุผลแต่อย่างใด ฉะนั้นขอให้ผู้ที่ปรารถนาในความมีสุขภาพแข็งแรงและพลานามัยที่สมบูรณ์เพรียบพร้อม ควรศึกษาและทำความเข้าใจวิธีปฏิบัติไปตามลำดับโดยเริ่มตั้งแต่

๑. เรียนรู้หลักสำคัญพื้นฐานของกายบริหารแกว่งแขน
๒. เคล็ดวิชา 16 ประการ ของกายบริหารแกว่งแขน
๓. เคล็ดลับพิเศษของกายบริหารแกว่งแขน

การออกกำลังโดยวธีแกว่งแขนนี้ นับว่าประเสริฐมากและได้ผลเกินคาด ทุกคนควรปฏิบัติอย่างยิ่ง เพราะมีแแต่ผลดีไม่บังเกิดผลเสียประการใด ข้อสำคัญผู้ปฏิบัติต้องมีความขยันอดทนต้องยืนหยัดพยายามทำอย่างสม่ำเสมอ จึงจะบรรลุผลสมความปรารถนา

หลักสำคัญพื้นฐานของกายบริหารแกว่งแขน

๑. ยืนตรง เท้าทั้งสองข้างแยกออกจากกันให้มีระยะห่างเท่ากับช่วงไหล่ (ดูภาพประกอบด้านล่าง) ๒. ปล่อยมือทั้ง ๒ ข้างลงตามธรรมชาติ อย่าเกร็งให้นิ้วมือชิดกัน หันอุ้งมือไปข้างหลัง (ดูภาพประกอบด้านล่าง)
๓. ท้องน้อยหดเข้า เอวตั้งตรง เหยียบหลัง ผ่อนคลายกระดูกลำคอ ศีรษะและปากควรปล่อยไปตามสภาพธรรมชาติ

๔. จิกปลายนิ้วเท้ายึดเกาะพื้น ส่วนส้นเท้าก็ให้ออกแรงเหยียบลงบนพื้นให้แน่น ให้แรงจนรู้สึกกว่ากล้ามเนื้อที่โคนเท้าและท้องตึง ๆ เป็นใช้ได้ (ดูภาพประกอบด้านบน)
๕. สายตาทั้ง ๒ ข้าง ควรมองตรงไปยังจุดใดจุดหนึ่งแล้วมองอยู่ที่เป้าหมายนั้นจุดเดียว สลัดความกังวลหรือความนึกคิดฟุ้งซ่านต่างๆ ออกให้หมด ให้จุดสนใจความรู้สึกมารวมอยู่ที่เท้าเท่านั้น

๖. การแกว่งแขน ยกมือแกว่งแขนไปข้างหน้าอย่างเบาๆซึ่งตรงกับคำว่า “ว่างและเบา” แกว่งแขนไปข้างหน้าไม่ต้องออกแรง ความสูงของแขนที่แกว่งไปพยายามให้อยู่ระดับที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องฝืนไห้สูงเกินไป คือ ให้ทำมุมกับลำตัวประมาณ ๓๐ องศา แล้วตั้งสมาธินับหนึ่ง...สอง...ลาม...ไปเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันก็ต้องระวังอย่าลืมออกแรงส้นเท้าและลำแขนด้วย เมื่อมือห้อยตรงแล้ว แกร่งขึ้นไปข้างหลังต้องออกแรงหน่อย ตรงกับคำที่ “แน่นหรือหนัก” แกว่งจนรู้สึกว่ากล้ามเนื้อไม่ยอมให้มือสูงไปกว่านั้นอีก เวลาแกว่งแขนกลับให้มีความสูงของแขนถึงลำตัวประมาณ ๖๐ องศา (ดูภาพประกอบที่ ๓)

สรุปแล้วก็คือ ขณะที่แกว่งแขนไปข้างหลังให้ออกแรงมากหน่อย ส่วนแกว่งไปข้างหน้าไม่ต้องออกแรง คือ ใช้แรงเหวี่ยงให้กลับไปเอง ก่อนการทำกายบริหารแกว่งแขน ควรแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ไม่คับหรือรัดแน่นเกินไป สะบัดแขน มือ เท้าสักครู่ ให้กล้ามเนื้อและร่างกายผ่อนคลาย หมุนศีรษะไปมาแล้วจัดลักษณะท่าทางให้ถูกต้อง

การทำกายบริหารแกว่งแขนมีวิธีนับอย่างไร

การแกว่งแขนนับโดยเริ่มออกแรงแกว่งไปข้างหลัง แล้วให้แขนเหวี่ยงกลับมาข้างหน้าเองนับเป็น ๑ ครั้ง แล้วนับสอง..สาม..ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะครบตามจำนวนที่เรากำหนดไว้

การแกว่งแขนแต่ละครั้งควรใช้เวลานานเท่าไร
เริ่มแรกที่ทำกายบริหารควรทำตั้งแต่ ๒๐๐-๓๐๐ ครั้งก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้นครั้งละ ๑๐๐ ตามลำดับจนกระทั่งถึง ๑๐๐๐-๒๐๐๐ ครั้ง ซึ่งจะใช้เวลาในการบริหารประมาณครั้งละ ๓๐ นาที (แกว่ง ๕๐๐ ครั้งใช้เวลาประมาณ๑๐ นาที)

การแกว่งแขนควรทำเวลาไหน
การทำกายบริหารแกว่งแขน สามารถทำได้ทุกเวลาคือเวลาเช้า กลางวัน และ เวลาค่ำ หรือแม้แต่ยามว่างสัก ๑๐ นาทีก็สามารถทำได้ หากรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ ควรนั่งพักเสียก่อนสัก ๓๐ นาที แล้วจึงค่อยทำกายบริหาร

การแกว่งแขนควรทำที่ไหน

การทำกายบริหารแกว่งแขนนี้ไม่จำกัดสถานที่ สามารถทำได้ในที่ทำงาน ในบ้าน ฯลฯ แต่ถ้าเป็นไปได้ควรทำในที่โล่งซึ่งมีอากาศถ่ายเทสะดวกเช่นในสวน ใต้ต้นไม้ จะเป็นการดีมากหากผู้ปฏิบัติสามารถยืนอยู่บนพื้นดิน หรือสนามหญ้า และที่สำคัญขณะทำกายบริหารแกว่งแขนต้องถอดรองเท้าเสมอ ในหนังสือตำราแพทย์โบราณกล่าวว่า การที่เราได้มีโอกาสเดินด้วยเท้าเปล่า ไปบนพื้นหญ้าที่มีน้ำค้างในยามเช้าเกาะอยู่ นับเป็นผลดีอันวิเศษยิ่งเพราะฝ่าเข้าทั้งสองจะดูดชึมเอาธาตุต่าง ๆ จากน้ำค้างบนใบหญ้า เข้าไปบำรุงหล่อเลี้ยงร่างกาย ทำให้เรามีสุขภาพพลาอนามัยที่สมบูรณ์ยอดเยี่ยม

ข้อแนะนำ

การแกว่งแขนต้องอาศัยความอดทน การแกว่งแขนแต่ละครั้งจะมากหรือน้อยย่อมขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนว่าอ่อนแอหรือแข็งแรงเพียงใด อย่าใจร้อน อย่าฝืน แต่ก็ไม่ไช่ทำตามสบาย เพราะหากปล่อยตามใจชอบแล้ว ก็จะขาดความเชื่อมั่นต่อการออกกำลังกาย และจะไม่บังเกิดผล

เมื่อเริ่มปฏิบัติอย่าออกแรงหักโหมมากเกินไปให้แกว่งไปตามปกติทำอย่างนิ่มนวล ไม่ใช่แกว่งอย่างเอาเป็นเอาตาย ควรทำจิตใจให้เป็นสมาธิ อย่าฟุ้งซ่าน ถ้าหากไม่มีสมาธิแล้วเลือดก็จะหมุนเวียนสับสนไม่เป็นระเบียบ ทำให้การปฏิบัติไม่สัมฤทธิ์ผลเท่าที่

กายบริหารแกว่งแขนนี้เมื่อปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำสามารถบำบัดโรคร้ายแรงและเรื้อรังต่างๆ ให้หายได้ ส่วนผู้ที่มีร่างกายปกติ หากปฏิบัติเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพพลานามัยให้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้อารมณ์แจ่มใสจิตใจเบิกบานและเป็นสุขหลังจากการทำกายบริหารแกว่งแขนแล้ว ควรเดินพักตามสบายเพื่อผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ

เคล็ดวิชา ๑๖ ประการ ของกายบริหารแกว่งแขน

๑. ส่วนบนปล่อยให้ว่าง
๒. ส่วนล่างควรให้แน่น
๓.ศีรษะให้แขนลอย (มองตรงไม่ก้มไม่เงยหน้า)
๔. ปล่อยให้เงียบสงบตามปกติ
๕. ทรวงอกเหมือปุยฝัาย (ปล่อยตามสบายไม่เกร็ง)
๖. หลังยืดตรงให้ตระหง่าน
๗. บั้นเอวตั้งตรงเป็นแกนเพลา
๘. ลำแขนแกว่งไกว
๙. ข้อศอกปล่อยให้ลดต่ำตามธรรมชาติ
๑๐. ข้อมือปล่อยให้นักหน่วง
๑๑. สองมือพายไปตามจังหวะแกว่งแขน
๑๒. ช่วงท้องปล่อยตามสบาย
๑๓. ช่วงขาผ่อนคลายยืนตรงตามธรรมชาติ
๑๔. บั้นท้ายควรให้งอนขึ้นเล็กน้อย
๑๕. ส้นเท้ายืนถ่วงน้ำหนักเสมือนก้อนหิน
๑๖. ปลายนิ้วเท้าทั้ง ๒ ข้างต้องงอจิกแน่นกับพื้น

คำอธิบายเคล็ดวิชา ๑๖ ประการของกายบริหารแกว่งแขน
๑. ส่วนบนปล่อยให้ว่าง หมายถึง ส่วนบนของร่างกายคือศีรษะ ควรปล่อยใหัว่างเปล่า อย่าคิดฟุ้งช่าน มีสมาธิแน่วแน่ควรทำอย่างตั้งอกตั้งใจมีสติ

๒. ส่วนล่างควรให้แน่น หมายถึง ส่วนล่างของร่างกายใต้บั้นเอวลงไป ต้องให้ลมปราณสามารถเดินได้สะดวก เพื่อให้เกิดพลังสมบูรณ์ ฉะนั้นคำว่า "ส่วนบนว่าง ส่วนล่างแน่น” จึงเป็นหลักสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารแกว่งแขน ขณะทำกายบริหารหากไม่สามารถเข้าถึงจุดนี้ได้แล้ว ก็จะทำให้ได้ผลน้อยลงไปมาก ทีเดียว

๓. ศีรษะให้แขวนลอย หมายถึง ศีรษะของท่านจะต้องปล่อยสบายๆ ประหนึ่งว่ากำลังแขวนลอยไว้ในอากาศกล้ามเนื้อบริเวณลำคอจะต้องปล่อยให้ผ่อนคลายไม่เกร็ง ไม่ควรโน้มศีรษะไปข้างหนัา หรือหงายไปข้างหลัง หรือเอียงไปข้าง ๆ ต้องมองตรงไม่ก้มไม่เงยหน้า

๔. ปากปล่อยให้เงียบสงบตามปกติ หมายถึง ไม่ควรหุบปากแน่น หรืออ้าปากไปตามจังหวะที่ออกแรงแกว่งแขนไม่ควรให้ปากอ้าตามใจชอบ ให้หุบปากเพียงเล็กน้อยโดยผ่อนคลายกล้ามเนื้อคือ ไม่เม้มริมฝีปากจนแน่น

๕. ทรวงอกเหมือนปุยฝ้าย คือกล้ามเนื้อทุกส่วนบนทรวงอกต้องให้ผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ เมื่อกล้ามเนึ้อไม่เกร็ง ก็จะอ่อนนุ่มเหมือนปุยฝ้าย

๖. หลังยืดตรงให้ตระหง่าน หมายความว่า ไม่แอ่นหน้าแอ่นหลัง หรือก้มตัวจนหลังโก่ง ต้องปล่อยแผ่นหลังให้ยืดตรงตาม ธรรมชาติ

๗. บั้นเอวตั้งตรงเป็นแกนเพลา หมายถึง บั้นเอวต้องให้เหมือนเพลารถ ต้องให้อยู่ในลักษณะตรง

๘. ลำแขนแกว่งไกว หมายถึง แกว่งแขนทั้งสองขัางไปมา ได้จังหวะอย่างสม่ำเสมอ

๙. ข้อศอกปล่อยให้ลดต่ำตามธรรมชาติ หมายถึง ขณะที่แกว่งแขนทั้ง ๒ ข้าง ไปข้างหน้าและข้างหลังนั้น อย่าให้แขนแข็งทื่อ ควรให้ข้อศอกงอเล็กน้อยตามธรรมชาติ

๑๐. ข้อมือปล่อยให้หนักหน่วง หมายถึง ขณะที่แกว่งแขนทั้ง ๒ ข้างนั้นควรผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ข้อมือ เมื่อไม่เกร็งแล้วจะรู้สึกคล้ายมือหนักเหมือนเป็นลูกตุ้มถ่วงอยู่ปลายแขน

๑๑. สองมือพายไปตามจังหวะแกว่งแขน หมายถึง ขณะที่แกว่งแขนนั้นฝ่ามือด้านในหันไปด้านหลัง ทำท่าคล้ายกับกำลังพาย เรือ

๑๒. ช่วงท้องปล่อยตามสบาย หมายถึง เมื่อกล้ามเนื้อบริเวณช่องท้องถูกปล่อยให้ผ่อนคลายแล้วจะรู้ดีกว่าแข็งแกร่งขึ้น

๑๓. ช่วงขาผ่อนคลาย หมายถึง ขณะที่ยืนให้เท้าทั้งสองแยกห่างกันนั้นควรผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ช่วงขา

๑๔. บั้นท้าย ควรให้งอนขึ้นเล็กน้อย หมายถึง ระหว่างทำกายบริหารนั้น ต้องหดก้นคือขมิบทวารหนัก คล้ายยกสูงให้หดหายเข้าไปในลำไส้
๑๕. ส้นเท้ายืนถ่วงน้ำหนักเสมือนก้อนหิน หมายถึงการยืนด้วยส้นเท้าที่มั่นคงยึดแน่นเหมือนก้อนหินไม่มีการสั่นคลอน

๑๖. ปลายนิ้วเท้าทั้ง ๒ ข้างต้องงอจิกแน่นกับพื้น หมายถึง ขณะที่ ยืนนั้น ปลายนิ้วเท้าทั้ง ๒ ข้างต้องงอจิกแน่นกับพื้นเพื่อยึดให้มั่นคง

เคล็ดลับพิเศษของกายบริหารแกว่งแขน

ข้อพิเศษของกายบริหารแกว่งแขนคือ "บนสาม ล่างเจ็ด"
ส่วนบน "ว่างและเบา" เรียกว่า "บนสาม"
แต่ส่วนล่าง "แน่นและหนัก" เรียกว่า "ล่างเจ็ด"

การเคลื่อนไหวอ่อนโยนละมุนละไมตั้งจิตให้เป็นสมาธิ แล้วจึงแกว่งแขนทั้งสองข้าง ด้วยเคล็ดลับพิเศษนี้แหละ ที่จะช่วยให้ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอเพราะส่วนบนแข็งแรงแต่ส่วนล่างอ่อนแอ ให้สามารถปรับเปลี่ยนไปเป็นผู้ที่มีส่วนล่างแข็งแรงและส่วนบนกระชุ่มกระชวย อันเป็นลักษณะที่ถูกต้องซึ่งจะทำให้โรคภัยทั้งหลายในร่างกายถูกขจัดออกไปเองจนหมด

อธิบายเคล็ดลับพิเศษ "บนสาม ล่างเจ็ด"

คำว่า "บนสาม ล่างเจ็ด" หมายถึง อัตราส่วนเปรียบเทียบการออกแรงมากและน้อย
"บน" คือ ส่วนบนของร่างกาย หมายถึง มือ
"ล่าง" คือ ส่วนล่างของร่างกาย หมายถึง เท้า
"สาม" หมายถึง ได้แรงสามส่วน
"เจ็ด" หมายถึง ใช้แรงเจ็ดส่วน

เคล็ดวิชาคำว่า "บนสามล่างเจ็ด" มีความหมาย ๒ ประการคือ

ประการที่ ๑ในการออกแรงแกว่งแขน หมายถึง เวลาแกว่งแขนขึ้นข้างบน ใช้แรงเพียงสามส่วน เวลาแกว่งแขนลงต่ำมาข้างล่าง ใช้แรงเจ็ดส่วน (ดูภาพประกอบด้านล่างนี้) ประการที่ ๒ ในการออกแรงทั้งตัว หมายถึงถ้านับกันทั้งตัว การออกแรงก็มีอัตราส่วนเปรียบเทียบคือ บน : ล่าง = ๓:๗ (บนต่อล่างเท่ากับสามต่อเจ็ด)คือแกว่งแขนไปข้างหน้านั้น จะเบาหรือแรงก็ตาม แต่มือจะต้องให้ได้ส่วนกับเท้า ในอัตราความแรง ๓ ต่อ ๗ อยู่ตลอดเวลาดังนั้นหากแกว่งมือแรง เข้าก็ต้องออกแรงยิ่งกว่านั้น นี่คือความหมายที่กล่าวไว้ว่า “ส่วนบนว่าง ส่วนล่างหนักแน่น” หรือ“บนสามล่างเจ็ด” ถ้าแขนออกแรง แต่เท้าไม่ออกแรงเป็นการบริหารที่สมบูรณ์แบบ คือรู้จักใช้แต่แขนลืมใช้เท้า กรณีนี้จะทำให้ยืนได้มั่นคงทำให้รู้สึกคล้ายจะหงายหลังล้ม การที่ไม่ต้องการให้ออกแรง มิใช่ว่าจะปล่อยเลยทีเดียว การที่ให้ออกแรงก็มิใช่ว่าให้ออกแรงจนสุดแรงเกิด การปล่อยให้ผ่อนคลายทั้งร่างกายโดยไม่ออกแรงเลยจนนิดเดียวก็จะไม่ได้ผล เพราะผิดหลัก ผิดอยู่ที่อัตราส่วนเนื่องจากแรงที่เท้าน้อยไป คือออกแรงเท้าเท่ากับส่วนบนนั่นเองหรือหากแขนจะออกแรงมากไปสักหน่อยก็จะกลับตาละปัตร กลายเป็นว่าส่วนล่างว่าง ส่วนบนแน่น

การแกว่งแขน ข้อสำคัญต้องระวังที่แขนให้มาก เมื่อต้องการให้ออกแรงก็มักจะคิดแต่การออกแรงที่แขน ลืมไปว่ายังมีเท้า ยังมีเองที่จะต้องมีส่วนช่วยการเคลื่อนไหวเหมือนกัน
การเคลื่อนไหวออกแรงของเท้าและเอวนี้สำคัญมากกว่าแขนเสียอีก การที่กล่าวเช่นนี้บางท่านอาจไม่เข้าใจ หากเคยฝึกมวยจีนไทเก็กหรือศึกษาหลักการแพทย์จีนสมัยโบราณ เกี่ยวกับเส้นเอ็นและชีพจรแล้วก็จะเข้าใจได้ไม่ยากนัก แขนที่แกว่งนั้นจะแกว่งไปจากเอวของเรา แต่รากฐานของเองอยู่ที่เท้าเมื่อเป็นเช่นนี้หากส่วนบน (แขน) ออกแรงแกว่งสบัด แต่ส่วนล่าง(เท้า) ไม่ออกแรงยึดเกาะพื้นไว้ให้มั่นคงเราก็จะเสียการทรงตัวขาดความสมดุลย์กัน คนเราเวลาเสียหลักเซล้มลงขณะขึ้นรถหรือลงเรือ ก็เนื่องมาจากเสียการทรงตัว ขาดความสมดุลย์กันผู้ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังจำนวนไม่น้อยก็เพราะเลือดลมขาดความสมดุลย์ เป็นอัมพาตก็เพราะเลือดลมขาดความสมดุลย์เช่นกันความดีเด่นของการแกว่งแขนที่ปรากฏออกมาให้เห็นชัดก็คือสามารถช่วยแก้ไขและปรับความไม่สมดุลย์ต่างๆของร่างกาย นั้น เอง เมื่อเราจะแก้ไขและปรับความสมดุลย์ของร่างกายแล้วทำไมจะต้องออกกำลังเท้าด้วย? ทั้งนี้ก็เพราะว่าที่ฝ่าเท้าของคนเรามีจุด ซึ่งทางแพทย์จีนเรียกว่า "จุดน้ำพุ" จุดนี้ติดต่อไปถึงไตหากหัวใจเต้นแรงหรือนอนไม่หลับ ถ้ามีการบีบนวดแรงจุดน้ำพุนี้ก็สามารถทำให้ประสาทสงบ ช่วยรักษาโรคนอนไม่หลับได้ตามตำรายังกล่าวไว้ว่า "ที่ฝาเท้ามีจุดอีกหลายจุด เกี่ยวโยงไปถึงอวัยวะภายในของคนเรา" เมื่อเราทราบตำแหน่งของจุดนั้นๆ แล้วก็จะสามารถรักษาโรคซึ่งเกิดกับอวัยวะเหล่านั้นได้ เช่นกัน ดังนั้นการออกกำลังโดยวิธีแกว่งแขนก็คือการปรับร่างกายให้สมดุลย์ ซึ่งเป็น "การบำบัดรักษาโรคนั่นเอง"

การที่มีคำกล่าวว่า "โรคร้อยแปดอาจรักษาให้หายได้ด้วยเข็มเพียงเล่มเดียว" หลายคนคิดว่าออกจะเป็นการอวดอ้างเกินความจริงแต่สำหรับผู้ที่มีความรู้แตกฉานในวิธีฝังเข็มรักษาโรคย่อมได้ประจักษ์แจ้งความจริงด้วยตนเองแล้วฉะนั้นการที่จะกล่าวว่าการแกว่งแขนสามารถรักษาโรคได้ร้อยแปด จึงพูดได้ว่าไม่ใช่เป็นการอวดอ้างเกินความจริงแน่ เพราะวิชากายบริหารแกว่งแขนนี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในตัวเองอยู่แล้ว เคล็ดวิชาทั้ง ๑๖ ประการ และเคล็ดลับพิเศษในการบริหารแกว่งแขน ดังได้อธิบายมาทั้งหมดนี้ ขอให้ทุกท่านอ่านทบทวนจนเข้าใจแจ่มแจ้งดีแล้ว จึงลงมือปฏิบัติ จะทำให้ได้รับผลยอดเยี่ยมครบสมบูรณ์

ขอขอบคุณคณะกรรมการ มูลนิธิรัศมีธรรม





8 ความคิดเห็น:

  1. โยนโบว์ลิ่งเนี่ย ถือว่าเป็นกายบริหารแกว่งแขนด้วยได้ป่ะ :P

    ตอบลบ
  2. แม่นางหุย

    ดีใจที่ได้พบศิษย์ผู้น้องร่วมสำนัก
    ปรมาจารย์ต๋าโม หรือที่เราคุ้นกับชื่อท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ
    ผู้ก่อตั้งวัดเส้าหลินนั่นเอง

    คัมภีร์วิชาเคลื่อนย้ายเส้นเอ็น หายสาบสูญไป ที่แท้อยู่กับแม่นางหุย
    มีน้ำใจนำมาเผยแผ่ เป็นบุญของชาวยุทธ์ ประเสริฐแท้ๆ

    ตอบลบ
  3. สุขภาพดีๆ ไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอา

    แค่ขยับ บนสามล่าง เจ็ด ก็ปลอดโรคได้..นะจินะจิ

    ตอบลบ
  4. คารวะศิษย์พี่ จอมยุทธนพ ข้าน้อยมิบังอาจรับวาจากล่าวชมเช่นนั้น ว่าแต่ท่านพี่ได้หมั่นฝึกเคล็ดวิชาหรือไม่ อย่าขี้เกียจ ท่านอาจารย์(ซ้อ)นกจะว่าเอาได้นะ อิอิ

    ตอบลบ
  5. หลังจากได้ศึกษาเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายเส้นเอ็นจนเข้าใจแล้ว
    (ไม่ต้องตกเขา ไปพบคัมภีร์โดยบังเอิญ)

    อาศัยที่ตัวข้ามีพื้นฐานวิชา"สงบสยบเคลื่อนไหว"อยู่แล้ว
    จะขอฝึกให้สำเร็จลุล่วงให้ได้ ได้ยินมาว่า ผู้ฝึกสำเร็จสามารถรักษาโรค
    ใบหน้าชราได้ จะแลดูอ่อนเยาว์ยิ่งนัก ดูท่าน้องเรา แม่นางหุยคงยังไม่สามารถฝึกสำเร็จ ขอได้พยายามต่อไป ต่อไป นะ

    ตอบลบ
  6. เราว่าหมัยนี้ต้อง...ออดิชั่น...พวกปี๊เป็น...เด็กแนวหรือเปล่าปี๊
    (รู้จักไหม...ออดิชั่น..นะ)....ฮิฮิ

    ตอบลบ
  7. ไม่รู้จักอ่ะ เราพวกหลังเขานิดๆ :P

    ตอบลบ
  8. ว้า หมดกัน ท่านเจ้าสำนักแม่นางหุย เก็บตัวฝึกวิชาอยู่หลังเขา
    สงสัยจะได้คัมภีร์ BBQ กำลังฝึก อยู่แหง๋แหง๋....สูงส่งสูงส่ง

    ตอบลบ